4.08.2560

แบกเป้บินเดี่ยวเที่ยวเชียงใหม่ No plan 4 วัน 3 คืน ชิคๆ

สวัสดีค่ะทุกคน

มีรีวิวมาฝากอีกแล้วค่ะ ทริปนี้เป็นทริปไฟไหม้! กล่าวคือตอนแรกจองตั๋วไปเวียดนามค่ะ แต่พอบอกมามี้
มามี้ไม่ให้ไปค่ะ >< ก็เลยต้องทิ้งตั๋วแล้ว หาที่เที่ยวใหม่ เหลืออีกอาทิตย์เเดียวต้องบินแล้ว ก็เลยมาลงเอยที่"เชียงใหม่"เจ้า ส่วนที่พักจองผ่าน booking.com เป็นโฮสเทลเล็กๆในคูเมืองค่ะ รีวิวที่พักดีทีเดียว ก็โอเคจัดไปตามนั้น นอกนั้นก็ไปโซโล่เอาข้างหน้า ว่าจะไปไหน อะไรยังไง เนื่องจากครั้งนี้ที่ไปน่าจะประมาณครั้งที่ 7-8 แล้วค่ะ ก็เลยพอรู้ว่าอะไรอยู่ไหนยังไง


*เดินทางเมื่อ 4 -7 เมษายน 2560

พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยค่ะ ^^

#DAY1

ทริปนี้ใช้บริการของแอร์เอเชีย เนื่องจากตั๋วถูกสุด เท่าที่จะหาได้แล้ว ไป-กลับ บวกค่าตัดบัตรรวมแล้วประมาณ 2,300 บาทค่ะ

รายละเอียดการเดินทางของเรา



ไฟลท์ขาไป 10.45 น. ตื่นเจ็ดโมงค่ะ มาถึงดอนเมืองประมาณ 8 โมงครึ่ง บรรยากาศเช้านี้สบายๆ คนไม่เยอะค่ะ  มาถึงแล้วก็สามารถเช็คอินได้ด้วยตนเองเลยค่ะ สะดวก ง่ายมาก ได้บอร์ดดิ้งพาสมาแล้ว เข้าไปในเกทกันค่ะ

สำหรับมือใหม่หัดขึ้นเครื่องบินครั้งแรกที่ดอนเมือง สามารถดูรีวิวได้ที่นี่ค่ะ >> http://iflytosky.blogspot.com/2016/05/terminal-2.html
ขาออกในประเทศต้องมาเช็คอินที่ Terminal 2 นะคะ ^^


วันที่หวยออกที่เกท 55 ค่ะ เดินยาวไป


โซนนี้ มีโซฟานุ่มๆให้นั่งฟรีด้วยค่ะ ขอลองนั่งหน่อย


ด้านนอกก็จะเห็นเครื่องบินมาจอดรอด้วย


ใกล้เวลาเรียกขึ้นเครื่องก็เดินไปรอหน้าเกทค่ะ  เครื่องบินมาแล้ว ลำนี้จะพาเราไปแอ่วเจียงใหม่เจ้า


เรียกขึ้นเครื่องแล้วค่ะ ไปต่อคิวกัน


ขึ้นมาแล้ว ไม่ได้จองที่นั่งมา ระบบสุ่มให้ เราได้นั่ง Hot seat ค่ะ ที่นั่ง 5E


แล้วก็บ๊ายบายบางกอก


ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่ค่ะ การเดินทางเข้าเมืองทำได้หลายแบบค่ะ
สำหรับแบบที่เราจะลองวันนี้คือ ใช้บริการ shuttle bus ของสนามบินค่ะ ไปส่งในตัวเมืองคนละ 40 บาท

สำหรับเคาท์เตอร์จะอยู่นู่นเลย ประตู 8 ฝั่งผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ
ถ้ามีกระเป๋าก็รับกระเป๋าก่อน เดินออกมาเลี้ยวขวาค่ะ เดินตรงมายาวเลย แล้วก็เดินออกนอกประตูมาเลยค่ะ เคาท์เตอร์อยู่ฝั่งซ้ายมือ

เดินตรงออกไปเลยค่ะ


เคาท์เตอร์อยู่ฝั่งซ้ายมือค่ะ


แต่ว่าไม่มีพนักงานอยู่ด้านในเลย ก็เลยถามพี่ๆชุดแดงว่าคนขายไปไหน
เค้าบอกว่า แนะนำให้โบกรถแดงเข้าเมืองดีกว่า เพราะตอนนี้ไม่มีผู้โดยสารเลย ออกรถมีผู้โดยสารคนเดียวก็ไม่คุ้ม ถ้ารอก็นา่จะรอนาน เพราะไฟลท์บินลงตอนนี้หมดแล้ว ต้องรอไปอีก - -"

ดูท่าแล้วไม่เวิร์คเลยค่ะ คุณผู้ชม! ถ้ามาเป็นกลุ่มน่าจะต่อรองได้ ให้เค้าออกรถเลย แต่นี่มาคนเดียว
เค้าไม่ออกรถง่ายๆแน่ๆ แถมบอกให้ไปโบกรถแดง จะเร็วกว่า ก็ตามนั้นค่ะ ถ้าพี่จะแนะนำหนูขนาดนี้ ><

เลยเดินไปด้านหน้าอาคารผู้โดยสารค่ะ จะมีรถสองแถวแดง หรือที่นี่เค้า่จะเรียกว่า"รถแดง" เข้ามาส่งผู้โดยสารอยู่เรื่อยๆ เราก็โบกเลยค่ะ ถามคุณลุงว่าไปคูเมืองมั้ยคะ? คุณลุงโอเค เราถามว่า "ซาวบาทเกาะเจ้า" (ชูสองนิ้ว) คุณลุงพยักหน้าโอเค เราก็ขึ้นรถเลยค่ะ นั่งข้างคุณลุง อิอิ จะได้บอกทางด้วย

จากสนามบินเข้ามาในเมืองไม่ไกลค่ะ เราพักในคูเมือง ยิ่งสะดวกเลย


นั่งมาไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงซอยหน้าที่พัก จ่ายตังค์ให้คุณลุง 20 บาทค่ะ ^^ แล้วก็เดินมาหน้าโฮสเทล
เราพักที่ City Capsule Hostel ค่ะ เป็นห้องรวมหญิง 3 คืน 450 บาทค่ะ ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้นะคะ
พี่ผู้หญิงที่คุยกับเรา ใจดี+ยิ้มแย้มค่ะ เมื่อเช้าเราลืมเอาเป้ใบเล็กมาด้วย เลยขอยืมถุงผ้า ย่ามอะไรก็ได้เอาไว้ใส่กล้องกับกระเป๋าตังค์ค่ะ พี่เค้าใจดีให้ยืมเป้ใบเล็กๆด้วยค่ะ ^^
ที่นี่มีมัดจำคีย์การ์ดด้วยนะคะ 200 บาท ได้คืนตอนเช็คเอาท์ค่ะ


ห้องสะอาดดี แอร์เย็นค่ะ เตียงมีม่านด้วย ส่วนตัวดีค่ะ


พักจนหายเหนื่อย แล้วก็ออกไปสำรวจโลกกัน วันนี้ยังไม่เช่ามอไซค์ค่ะ เดินไปก่อน
เดี๋ยวจะไปนั่งอ่านหนังสือที่้ร้านกาแฟค่ะ เจอรีวิวนึงมีร้านกาแฟที่ เหมาะแก่การอ่านหนังสือ อยู่ในคูเมืองตรงแยกอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ดูจากกูเกิ้ลแมพแล้ว เดินไปได้ ชิวๆค่ะ ก็เลยเดินไป ระหว่างทางเจอร้านข้าวตามสั่งก็แวะกินข้าว แป๊บนึง เป็นกระเพราไก่ค่ะ 35 บาท จากนั้นก็เดินต่อ

ร้านกาแฟที่ว่าคือ Kaffe 151 ค่ะ อยู่ข้างไปรษณีย์ เราก็เดินวนไปวนมา
ในคูเมืองตอนบ่ายๆ ก็ร้อนเหมือนกันนะคะ แต่ไม่เท่าที่เกาะเต่า - -"

(**รีวิวแบกเป้ขึ้นรถไฟไปเกาะเต่า ชิคๆ >> http://journeyofarrowinthai.blogspot.com/2017/03/blog-post.html?m=0  )

 ก็เลยไปถามคุณลุง คุณลุงก็ใจดีบอกทาง ให้เดินย้อนกลับไปใหม่

เจอร้านแล้วค่ะ เข้ามาในร้านเราไม่ใช่คอกาแฟนะคะ สั่งเป็นชาเขียวค่ะ จ่ายตังค์รอรับเครื่องดื่มแล้วก็เดินไปหาที่นั่งได้เลย เราเลือกขึ้นมาชั้น 2 ของร้านค่ะ เป็นวิวสี่แยกพอดี นั่งอ่านหนังสือตรงนี้


บรรยากาศบนชั้น 2 ค่ะ สบายๆ คนไม่เยอะ


อีกมุมนึงค่ะ


นั่งอ่านหนังสือที่นี่เกือบห้าโมงครึ่ง เริ่มอยากออกไปเดินเล่นแล้วค่ะ ก็เลยเก็บของเดินออกจากร้านมา
เดินมาที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ค่ะ พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว


แล้วก็เดินไปเรื่อยตามทาง เด๊่ยวหาข้าวเย็นกินแล้วก็กลับที่พักค่ะ พรุ่งนี้มีโปรแกรมหนัก นั่นคือแว๊นมอไซค์ไปสวนพฤษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริมค่ะ ทางเดียวกับที่ไปม่อนแจ่ม ห่างจากในเมืองเชียงใหม่ 27 กิโลเมตร ไป-กลับก็ 50 กิโลกว่าๆ ถือว่าเป็นการแว๊นมอไซค์คนเดียวที่ไกลที่สุดในชีวิตเลยค่ะ !! ><

เดินจะกลับที่พัก ผ่านวัดนี้เลยเดินเข้าไปไหว้พระสักหน่อย


เดินออกมาด้านนอก เพิ่งรู้ว่าเป็น"วัดพันเตา"ค่ะ


ตอนเย็นๆ


จากนั้นก็เดินกลับที่พักค่ะ ก่อนถึงมีร้านอาหารตามสั่งขายก็เลย กินผัดไทไป 1 จาน 40 บาทเองค่ะ
แล้วก็กลับห้องพักผ่อนค่ะ

#DAY2

เช้านี้ตื่นมาอาบน้ำ ออกมาแปดโมงครึ่งค่ะ ติดต่อคนดูแลที่พักว่าจะเช่ามอไซค์ เค้าก็บอกให้รอ เดี๋ยวมีคนเอามอไซค์มาส่ง เป็นฟีโน่ค่ะ ค่าเช่าวันละ 250 บาท แต่ว่าเป็นคนไทย ก็เลยจะมีค่ามัดจำด้วย

"3,000 บาท"

เราบอกว่าไม่มีค่ะ! ก็เลยไม่เช่า  เลยเดินโบกรถแดง ไปร้าน Bikky อยู่เลยเซ็นทรัลกาดสวนแก้วไปทางมช. โบกคันแรกไม่ไปค่ะ >< โบกคันที่สอง ลุงถึงรับไปส่งที่ร้านค่ะ ค่ารถแดง 20 บาท ไปถึงร้านBikky เกือบสิบโมง ได้ฟีโน่มา คันละ 250 บาทค่ะ ไม่มีค่ามัดจำ รถใหม่ดีค่ะ ตอนคืนรถขอให้มีน้ำมันเท่าเดิมกับตอนที่เช่าออกมา

ได้รถแล้ว วันนี้จะแว๊นไปอำเภอแม่ริม ไปเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์ค่ะ ระยะทาง 27 กิโลเมตร เป็นการแว๊นที่ไกลที่สุดในชีวิตเลยนะเนี่ย ตื่นเต้น ><  ก่อนไปก็แวะเติมพลังนิดนึง แวะทานก๋วยเตี๋ยวก่อนค่ะ
จากนั้นก็แวะไปเติมน้ำมัน แล้วก็เริ่มสตาร์ทจากประตูช้างเผือกค่ะ เปิดกูเกิ้ลแมพเอาค่ะ

แว๊นมาเรื่อยๆ เราขับช้าค่ะ 40 km/hr ฝรั่งที่ขับตามหลังมา เค้าแว๊นแซงหน้าไปหลายคันเลย - -"
ถนนดีค่ะ เรียบดี แต่ระวังรถยนต์หน่อย แล้วก้มาเจอสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายค่ะ  เลี้ยวมาแล้ว
เริ่มเห็นภูเขาอยู่ข้างหน้า อากาศดีนะคะ ไม่ร้อนมาก เหงื่อยังไม่ออกเลย


ขับมาเรื่อยๆ ข้างทางมีร้านอาหาร รีสอร์ท ไร่สตรอเบอรี่ ปางช้าง ที่เที่ยวเยอะค่ะ ถนนเส้นนี้
แว๊นไปเรื่อยๆ จะมีช่วงโค้งคดเคี้ยว ประมาณ 3 กิโลเมตร ต้องขับดีๆค่ะ แล้วก็เจอป้ายนี้ ดีใจจังมาถูกทาง ฮ่าๆ ใกล้ถึงแล้ว ^^


แว๊นมาเรื่อยๆ เจอแล้วค่ะ มาถึงแล้ว ^^ ใช้เวลาในการแว๊นเกือบ 1 ชั่วโมง แอบปวดหลังนะเนี่ย ฮ่าๆ


.


ตอนเที่ยงนี่เงียบๆค่ะ คนไม่พลุกพล่าน ไปซื้อตั๋วกันค่ะ ขับรถเข้าไปเลย ค่าเข้าผู้ใหญ่คนละ 40 บาท
เราขับมอไซค์ไปด้วยคิดเพิ่มอีก 30 บาท จ่ายไป 70 บาทค่ะ ได้ตั๋วกับแผนที่มาค่ะ


จากนั้นก็ต้องแว๊นต่อไปอีก เดินไม่ไหวนะคะ ที่เที่ยวไกลจากทางเข้าอยู่ ทางก็จะชันๆคดเคี้ยวค่ะ
ถ้ามาถึงตรงนี้ Canopy walkway จะอยู่ตรงนี้แหละค่ะ  หาที่จอดรถเลย


แล้วก็เดินมาที่ตัวอาคารที่เป็นทางเข้าของ Canopy walkway



ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ตรงนี้เลยค่ะ


เส้นทางเดินเหนือเรือนยอดไม้ (Canopy Walkway) มีความยาวเกือบ 400 เมตร และอยู่ในความสูงเหนือพื้นดินกว่า 20 เมตร ทำให้เราสามรถเดินชมทัศนียภาพของทิวยอดไม้ ได้อย่างสุดลูกหูลูกตา และด้วยความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 800 เมตร  ทำให้อากาศบนนี้เย็นสบายค่ะ นอกจากนี้ยังมีป้ายบอกชื่อต้นไม้ รวมถึงความรู้เล็กๆน้อยๆตลอดทางด้วยค่ะ

ไปเดินสำรวจเส้นทางกันค่ะ


จะมีในส่วนของกระจก ยื่นออกไปข้างทางเดิน ให้เราลองเดินบนกระจกด้วยค่ะ


กระจกไม่ใส เหมือนตอนเปิดใหม่ๆค่ะ มองไม่เห็นพื้นข้างล่างเลย ฮ่าๆ



มีป้ายให้ความรู้ตลอดทางค่ะ ดอยนู้นคือ "ดอยม่อนคว่ำหล้อง"ค่ะ


เดินมาตามทาง


"กิ้งก่าบิน" ยังไม่เคยเห็นค่ะ


เดินไปอีก สุดทางเดินเป็นจุดชมวิวค่ะ



มาถึงสุดทางเดินแล้วค่ะ


ตรงนี้ก็มีกระจก ยื่นออกไปเหมือนกันค่ะ พักถ่ายรูปตรงนี้แล้วก้เดินกลับค่ะ ต้องไปอาคารเรือนกระจกต่อค่ะ


ระหว่างทางเดินกลับ


จากนั้นก็เดินออกตรงทางออกค่ะ จะไปออกทางร้านขายของที่ระลึก


ดูอย่างงี้สูงมากเลยค่ะ


จากตรงนี้เราจะไปที่กลุ่มอาคารเรือนกระจกค่ะ  ต้องแว๊นจากตรงนี้ขึ้นไปอีก
มาถึงแล้วค่ะ คนไม่เยอะ ดูจากรถของนักท่องเที่ยวที่มาจอด


แวะถ่ายดอกไม้


ดอกไฮเดรนเยีย


ทางเข้ากลุ่มอาคารเรือนกระจก จะจัดแสดงพรรณไม้ต่างๆ


ดอกอะไรเอ่ย?


อาคารแรกที่แวะเลยคือ น่าจะเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่นั่นคือ อาคารของพืชทนแล้ง
จะมีต้นกระบองเพชรสวยๆ แปลกตามากมายให้ชมค่ะ

ทางเข้า





แล้วก็มาถึงไฮไลท์ของวันนี้ค่ะ ต้นกระบองเพชร ^^ แว๊นมา 27 กิโล เพื่อสิ่งนี้ ฮ่าๆ


พันธุ์ถังทองค่ะ สวยดีค่ะ


มีหลายพันธุ์เลยค่ะ




ไปดูอาคารอื่นกันบ้าง

ต้นเก๊กฮวย เกิดมาเพิ่งเคยเห็น ปกติทานแต่น้ำเก๊กฮวยค่ะ ^^


เส้นๆขาวๆ ถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าเป็น"หนวดฤาษี"ค่ะ



ไปดูดอกบัวกันบ้าง เห็นบ่อยๆ เพิ่งรู้ว่าชื่อ"สัตตบงกช"


"เซนต์หลุยส์โกลด์"


ดอกกล้วยไม้



แล้วก็ไปโซนป่าดิบชื้น ตรงนี้จะเย็นๆ สดชื่นๆหน่อยค่ะ มีน้ำตกด้วยค่ะ


จากตรงนี้ก็ไปทานข้าวที่ร้านขายของที่ระลึกค่ะ มีร้านอาหาร มีห้องน้ำบริการนั่งท่องเที่ยวอยู่
เราทานข้าวผัดหมู 40 บาทเองค่ะได้เยอะมาก ^^ ออกจากที่นี่บ่ายสองโมงครึ่ง กว่าจะถึงในเมืองก็น่าจะประมาณ บ่ายสามโมงครึ่ง ขับช้าค่ะ ฮ่าๆ ถ้ามีเวลาควรเที่ยวทั้งวันนะคะ ยังมีหลายโซนยังไม่ได้ไป
เพราะที่นี่ใหญ่มาก ต้องใช้เวลาทั้งวัน แต่เรามาคนเดียวกลับค่ำ อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไว้เดี๋ยวมาใหม่
หน้าหนาวน่าจะอากาศดีกว่านี้  แต่มาเดือนเมษา บนนี้ไม่ร้อนมากเลยค่ะ อากาศสบายๆ
ถือว่าคุ้มค่าตั๋วมากค่ะ  จากนี่เราก็แว๊นกลับเข้าไปในเมือง  มาถึงเกือบบ่ายสามครึ่ง
หาร้านกาแฟ นั่งอ่านหนังสือต่อ

ร้านที่แวะไปบ่ายนี้ ชื่อร้าน Annista Cafe ค่ะ อยู่เลียบคลองชลประทาน
สั่งชาเขียวกับเค้กชาเย็นมาทานค่ะ


เริ่มเย็น ก็ออกทำการแว๊นค่ะ เย็นนี้ไปแว๊นในมช. เหมือนจะมีอีเว้นท์ด้วยเลยจอดแวะลงไปเดินเล่นสักหน่อย


มีคอนเสิร์ตด้วย เป็นงาน CMU Mall ค่ะ จัดวันที่ 5-7 เมษายน วันนี้จะมีหน้ากากจิงโจ้ มาเล่นคอนเสิร์ตด้วย ก็เลยเดี๋ยวรอดูค่ะ อิอิ


ไปแว๊นต่อ เย็นๆมานั่งเล่นที่อ่างแก้ว



เริ่มมืดแล้ว ก็แว๊นกลับไปที่งาน CMU Mall ค่ะ
มีอาหาร/เครื่องดื่มขายด้วยค่ะ ^^


หาอะไรทาน เราได้เครป+ไก่ทอด แล้วก็น้ำมะพร้าวมาทานค่ะ


คนเยอะแยะเลย


สองทุ่มนิดๆ หน้ากากจิงโจ้ก็มาเล่นคอนเสิร์ตร้องเพลงให้ฟังค่ะ ^^


ดูไม่จบนะคะ วันนี้เพลีย ก็เลยแว๊นกลับที่พักค่ะพักผ่อน

#DAY3

เช้านี้ต้องรีบเอารถไปคืนตอนสิบโมงค่ะ เพราะเช่าแค่วันเดียว แต่คิดไปคิดมา ถ้าไม่มีรถก็ไม่สะดวก
ก็เลยจะเช้าต่อจนถึงวันกลับเลย เช้านี้ไปไหว้พระที่วัดประจำปีเกิดค่ะ เกิดปีมะเส็งจริงๆต้องไปที่อินเดียเลยค่ะ แต่ถ้ายังไม่มีโอกาส สามารถมาไหว้ที่ วัดเจ็ดยอด เชียงใหม่ ได้ค่ะ ^^

วัดเจ็ดยอด ถ้ามาจากคูเมือง ให้เลี้ยวขวาตรงแยกรินคำ (ห้าง MAYA)ค่ะ  ทางเข้าวัดจะอยู่ซ้ายมือ
เข้ามาแล้ว  นำดอกไม้ ธูปเทียน มาไหว้สักการะ

บรรยากาศในวัด




จากนั้นก็แว๊นกลับไปที่ร้าน Bikky ค่ะ ไปจ่ายตังค์เช่ารถต่อ วันกลับเราจะแว๊นไปสนามบินเลย
คิดค่าบริการเพิ่มอีก 50 บาท ก็โอเคค่ะแลกกับความสะดวก แดดยังไม่ร้อนมาก ก็เลยจะแว๊นขึ้นจุดชมวิว ดอยสุเทพค่ะ ใช้ถนนเส้นหน้ามช. จะผ่านสวนสัตว์เชียงใหม่ค่ะ แว๊นยาวๆ ขึ้นมาเลย

ระหว่างทาง


ข้างทางมีน้ำตกวังบัวบานด้วยค่ะ ไม่เคยแวะ ลองแวะสักหน่อย


ไปสำรวจโลกกัน


มีศาลาไว้เป็นจุดชมวิวด้วยค่ะ


ตรงนี้ไม่ค่อยมีน้ำ


จากตรงนี้ก็แว๊นขึ้นไปอีก จนเจอจุดชมวิวข้างทาง  ตรงนี้เย็นดีค่ะ เราชอบ ^^
ตรงนี้มีกาแฟขาย มีขายของที่ระลึก แล้วก็มีคุณลุงที่รับวาดภาพเหมือนด้วยค่ะ
ถ้าอยากเข้าห้องน้ำ ด้านล่างของศาลาก็มีห้องน้ำให้เข้าด้วย


อยู่ตรงนี้จนเกือบเที่ยง ก็เลยแว๊นกลับลงมา หาข้าวเที่ยงกินแถวที่พักค่ะ แล้วก็กลับห้องไปตากแอร์ บ่ายๆค่อยออกมาใหม่

ออกมาบ่ายสามกว่าๆ หาร้านกาแฟ นั่งอ่านหนังสือที่ถนนนิมมานเหมินท์ค่ะ
ตกลงได้ร้านนี้ Wake up 24Hrs อยู่หน้านิมมานซอย 8 เลยค่ะ


ของเราสั่งเป็นชาเขียวค่ะ 79 บาท  แล้วพนักงานก็จะให้สิ่งนี้มา ถ้าไฟกระพริบสีแดงๆ แล้วเครื่องสั่นๆ
ก็ให้เรามารับเครื่องดื่มได้ที่เคาท์เตอร์ค่ะ ^^


ระหว่างนี้ก็หาที่นั่งค่ะ มี 4 ชั้นเลยทีเดียว ส่วนมากเป็นน้องๆ มานั่งอ่านหนังสือกับเพื่อนๆค่ะ
รอไม่นาน เครื่องก็สั่น ก็เลยเดินลงไปรับเครื่องดื่ม

ชาเขียวอร่อยมากค่า ^^


อยู่ที่นี่เกือบหกโมงครึ่ง ออกไปขี่รถเล่นดีกว่า แวะมาหาอะไรทานที่นี่ค่ะ
อยู่ตรงแยกรินคำเลย ตรงข้ามห้าง MAYA


มีร้านขายเสื้อผ้า ของฝาก ของที่ระลึกต่างๆ มีอาหารขายด้วยค่ะ



เย็นนี้ได้ผัดมาม่าเป็นอาหารเย็นค่ะ ทานที่นี่เลย หลังจากนั้นก็แว๊นไปประตูท่าแพซะหน่อย


เย็นวันอาทิตย์จะคึกคักมาก เพราะมีถนนคนเดินค่ะ


คูเมืองตอนกลางคืน


หมดไปอีกหนึ่งวันค่ะ กลับห้องพักผ่อน พรุ่งนี้จะกลับแล้ว

#DAY4

มาถึงเช้าวันสุดท้ายที่เชียงใหม่ จะกลับแล้วค่ะไฟลท์บ่ายโมง ออกมาแต่เช้าเลยรีบมาเก็บตกก่อนไปสนามบิน เช้านี้ฝากท้องไว้ที่ร้าน"ข้าวมันไก่เกียรติโอชา"ค่ะ  อยู่ข้างๆอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ค่ะ แว๊นไปไม่ไกลจากที่พัก เช้านี้คนไม่เยอะค่ะ  ต้องดูชื่อร้านดีๆนะคะ เพราะร้านข้างๆเค้าตั้งชื่อคล้ายๆกัน - -"

ถึงแล้ว จอดมอไซค์หน้าร้านเลยค่ะ


เช้าๆคนไม่เยอะค่ะ


ของเราสั่งเป็นข้าวมันไก่ ธรรมดาค่ะ 40 บาทค่ะ อร่อยสมคำร่ำลือค่ะ^^
แต่ถ้าใครกินจุ แนะนำสั่งเป็นไก่สับแยกกับข้าวต่างหากเลยค่ะ


ทานเสร็จก็ไปไหว้พระค่ะ วัดที่เราไปคือ วัดราชมณเฑียรค่ะ อยู่ฝั่งประตูช้างเผือก ตรงข้ามวัดโลกโมฬี



 ถนนหน้าวัด ดอกคูนออกดอกสวยเลยค่ะ ต้อนรับสงกรานต์สุดๆ


คูเมืองเชียงใหม่ ยามเช้า ^^


จากจุดนี้ก็ไปไหว้พระต่อที่วัดพระสิงห์ค่ะ ใครที่เกิดปีมะโรง สามารถมาสักการะพระธาตุประจำปีเกิดได้ที่นี่ค่ะ วัดพระสิงห์จะอยู่ในคูเมืองค่ะ


จากวัดพระสิงห์เราก็ไปแวะวัดหมื่นเงินกอง อยู่ใกล้ๆกับที่พักก่อนที่จะไปเก็บของ เช็คเอาท์ค่ะ


จากนั้นก้เก็ของ เช็คเอาท์ รับเงินมัดจำคืน 200 บาท แล้วก็แว๊นไปสนามบินเลยค่ะ คืนรถไว้ที่สนามบิน
จะมีเจ้าหน้าที่ของร้านBikkyรอรับรถอยู่ จากนั้นก็เดินมาอาคารผู้โดยสารค่ะ


เข้าไปด้านในไปเช็คอิน รับบอร์ดดิ้งพาสค่ะ สามารถเช็คอินได้ด้วยตัวเองเลยกับตู้คีออสค่ะ สะดวกดี

เรียกขึ้นเครื่องเกือบบ่ายโมงแน่ะ ก็เลยมาหาอะไรทาน ร้อนๆแบบนี้ต้องชาเขียวเท่านั้น^^
Wake up มีสาขาที่สนามบินด้วยค่ะ อยู่ทางออกประตู 6 เดินออกมาจากประตูอยู่ฝั่งตรงข้ามเลย

บรรยากาศในร้าน


นั่งอยู่ตรงนี้เกือบบ่าย ก็เข้าไปด้านในค่ะ เดินเข้าไปในเกทกัน รอเรียกขึ้นเครื่อง

เรียกขึ้นเครื่องแล้ว ลำนี้จะพาเรากลับกรุงเทพ - -" (ม่ายเอา ม่ายอยากกลับ...แอ๊!!!)


ที่นั่งได้นั่งริมหน้าต่างค่ะ เย่! 16E แต่แดดร้อน ฮ่าๆ


บ๊ายบาย เชียงใหม่ สนุกมาก เดี๋ยวกลับมาเที่ยวอีกเจ้า ^^


ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงดอนเมืองค่ะ ฟ้าครึ้มเชียว


และไม่ทันไรก็............ฝนตกค่ะ คุณผู้ชม!! แลนด์ปุ๊บ!  ตกปั๊บ!

อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เรานึกถึงความแตกต่าง ^^


จากนั้นก็เดินออกมาหน้าอาคารผู้โดยสาร นั่งรถเมล์สาย A1 คนละ 30 บาทค่ะ มาจอดที่ BTSหมอชิต หรือจตุจักรนั่นเอง

ถึงจตุจักรแล้ว ฝนหยุดแล้วค่ะ ฟ้าหลังฝนย่อมสดในเสมอ ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ กำลังออกดอกสวยเชียว
ไม่ลืมที่จะแวะถ่ายภาพไว้ค่ะ

#ชมพูพันธุ์ทิพย์ #จตุจักร 
7 เมษายน 2560


สำหรับทริปนี้หมดไปเกือบ 3,000 บาท รวมทุกอย่างค่าที่พัก+ ค่ามอไซค์+ค่ากิน (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)
เป็นทริปที่ No plan ค่ะ อยากทำอะไร..ทำ อยากไปไหน..ไป  ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ คือแว๊นมอไซค์ไปเที่ยวคนเดียวไกลมากที่สุดในชีวิต ไป-กลับ 50 กิโลกว่าแน่ะ  แหม่!..แว๊นไปได้ ><

ขอจบรีวิวไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่เข้ามาชมนะคะ ^^

แวะไปคุยกันได้ที่ >> https://www.facebook.com/Journey-of-Arrow-1161356250559423/

1 ความคิดเห็น: